วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ปวดข้อเข่าเฉียบพลัน ภัยใกล้ตัวต้องระวัง

อาการปวดเข่า มีโอกาสเกิดขึ้นได้กับเราทุกๆคน แต่ที่น่ากลัวก็คือ อาการปวดข้อเข่าเฉียบพลันจาการบาดเจ็บ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักกีฬาประเภทที่ต้องใช้แรงกระแทกของผิวข้อค่อนข้างมาก หรือการใช้งานผิดประเภท
นายแพทย์พีรพัศฆ์ รุจิวิชชญ์ ศัลยกรรมกระดูกและข้อ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์และแพทย์ที่ปรึกษาสโมรสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด กล่าวว่าอาการปวดเข่าเฉียบพลัน มักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อรอบๆ เข่าหรือภายในข้อเข่า ตลอดจนการอักเสบของเส้นประสาท ซึ่งความรุนแรงมักขึ้นจากลักษณะการได้รับบาดเจ็บหรือการใช้งานผิดประเภท
อาการปวดเข่าเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
อ่านต่อhttp://www.trueplookpanya.com/true/sarapan_detail.php?cms_id=13772

ลดน้ำหนักแบบไม่โยโย่


ลดน้ำหนักแบบไม่โยโย่

       ช่วงเดือนที่ผ่านมาหลายๆสื่อ มีการนำเสนอเรื่องของน้องลูกนก นักศึกษาปี 4 น้องผู้หญิงที่มีความตั้งใจในการ ลดน้ำหนัก เริ่มต้นจากการบนบานสานกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ว่า จะไม่กินข้าวเย็นกับน้ำอัดลม 1 เดือนหากได้จับมือกีบ นิชคุณสุดท้ายไม่ใช่เรื่องโจ๊กขำขัน เธอได้จับมือกับนักร้องขวัญใจจริงๆเลยต้องทำตามที่สัญญาไว้ จากน้องลูกนกที่มีแต่คนแซวเพราะน้ำหนักขึ้นชั่งก่อนลดอยู่ที่ 131 กิโลกรัม ภายในเวลา 7 เดือน เธอลดน้ำหนักลงเหลือ 68 กิโลกรัม น้ำหนักลดลงไปถึง 63 กิโลกรัมขณะนี้เธอคงลดลงไปได้อีกแน่ๆ เธอตอบคำถามกับสื่อแบบง่ายๆว่า
1.  ลดน้ำหนักอย่างไร
      ลดวิธีธรรมดา สามัญที่สุดเลยค่ะออกกำลังกายและควบคุมอาหารเท่านั้นเองแต่สิ่งสำคัญคือ กำลังใจ ความมุ่งมั่น ความพยายาม ความอดทน ทุกอย่างจะต้องรวมกันต้องใจสู้นะค่ะ ถึงจะทำได้จริงๆค่ะ เราเข้าใจค่ะว่ามันยาก แต่เชื่อเถอะค่ะว่าทุกคนทำได้ถ้าตัดสินใจแล้วว่าจะสู้!
2.  มีเคล็ดลับอย่างไร      
      ไม่มีเคล็ดลับอะไรเลยค่ะ ต้องชนะใจตัวเองให้ได้และอย่างที่บอกต้องใจสู้จริงๆแต่การออกกำลังกายและการควบคุมอาหารเท่าที่เราทำมาเราค้นพบว่าแต่ละคนจะมีสูตรไม่เหมือนกันนะคะ  แล้วแต่สรีระของแต่ละคน

3.  กินยาอะไร          
      ขอตอบด้วยความสัตย์จริงนะคะว่าเราไม่เคย กินยาหรือ ใช้ยาใดๆก็ตามในการลดน้ำหนักเลยแม้แต่เม็ดเดียว  การลดน้ำหนักที่ผิดวิธี และไม่เข้าใจธรรมชาติของร่างกาย ทำให้เกิดผลร้ายกับร่างกายโดยที่เราไม่รู้ตัว หลายคนใช้วิธีการอดอาหารอย่างหักโหมคิดว่าในเมื่ออาหารทำให้อ้วน ดังนั้นใช้วิธีหักดิบโดยไม่ทานอะไรเลยแน่นอนว่า วิธีการนี้น้ำหนักจะต้องลดลงอย่างรวดเร็ว แต่วิธีนี้ทำได้ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องหิวจัดกลับมาทานอาหารบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าสภาพร่างกายได้เปลี่ยนไปแล้ว                      
      ร่างกายของคนที่ขาดสารอาหารโดยการอดอาหารเป็นเวลานานจะเปลี่ยนโหมดการทำงานเหมือนต้นไม้กลางทะเลทราย คือ ใช้พลังงานน้อยๆแต่เก็บพลังงานเอาไว้มากๆเพราะกลัวว่าเจ้าของร่างกายจะเสียชีวิตอาหารที่ให้พลังงานเช่น ข้าว แป้งน้ำตาลที่ทานเข้าไปเพียงนิดเดียวร่างกายก็จะเก็บสะสมเป็นพลังงานสำรองชิ้นใหญ่ๆที่เรียกว่าไขมัน เอาไปพอกตามเอว แขน  ขา แบบนี้ล่ะครับที่เค้าเรียกว่า อาการ โย โย่ เอฟเฟคยิ่งลดยิ่งอ้วน  คุณสุภาหน้าตาอวบอิ่มและยิ้มแย้มให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ผมว่า
1.  มีอาการปวดส้นเท้าทั้ง 2 ข้างเมื่อตื่นนอนหรือเวลานั่งกับพื้นนานๆก็มีอาการปวดได้เช่นกันต้องเปลี่ยนอิริยาบถสักพักก็จะมีอาการดีขึ้น 
2.  ลมหายใจมีกลิ่น มีกลิ่นปาก และมีกลิ่นเหม็นอยู่ในโพรงจมูก แสบจมูกตลอดเวลา    
3.  ปวดบริเวณบั้นเอวไปจนถึงต้นขาปวดตามข้อนิ้วมือ                                   
4.  มีสิว และหนังศีรษะลอก ผมร่วง
5.  หน้ามืด เวียนศีรษะบ่อย                                 
6.  น้ำหนักมากต้องการลดน้ำหนัก      

     พฤติกรรมของเธอคือ ตื่นเช้าไม่ทานอาหารเช้า ทานกาแฟและขนมปัง เพราะกลัวอ้วน อาหารที่ทานชอบเนื้อสัตว์ ข้าวเหนียว ไก่ทอด ของหวาน ของทอดชอบมากเป็นพิเศษ ชอบทานแต่น้ำเย็นเป็นประจำเพราะชื่นใจและรู้สึกมีความร้อนอยู่ในร่างกาย  ลดน้ำหนักมาแล้วแถบทุกวิธี ทั้งอดอาหาร ทานยาลดน้ำหนักแบบไม่ปะติดปะต่อ อาหารเสริมลดแป้งลดไขมัน ขณะนี้เธอมีน้ำหนัก 104 กิโลกรัม อายุ 40 ปี น้ำหนักขึ้นเดือนละ 1-2 กิโลกรัม  
    ขณะนี้ร่างกายคุณสุภามีลักษณะเป็นต้นไม้กลางทะเลทราย หรือ โยโย่ เอฟเฟค วิธีแก้ไข คือการทานอาหารไม่มากเกินไปในแต่ละมื้อ ไม่ต้องอดอาหารทำให้ร่างกายคุ้นชินว่าจะไม่มีการขาดสารอาหารที่ไม่ต้องพึ่งพาย่อยมากนัก เช่น สาหร่ายเกลียวทองก่อนนอนประมาณ 5 เม็ด น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหาร เช้า-เที่ยง 20 นาที หรือ แล้วเพื่อนำเอาโปรตีน ไขมัน และสารอาหารเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงเซลล์ต่างๆ อย่างเพียงพอ เป็นเวลา 2-3 เดือน เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หากคุณสุภางดการทานน้ำเย็นลงก็จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารกลับเข้าสู่สภาพที่ดีขึ้น หายเจ็บส้นเท้าในเร็ววัน อาการหน้ามืดเวียนศีรษะก็ไม่เป็นง่ายๆอีก

ช็อคโกแลต ทานอย่างไรให้สุขภาพดี

ช็อคโกแลต ทานอย่างไรให้สุขภาพดี
              
         ช่วงเดือนแห่งความรักเวียนมาถึงทั้งที หลายๆ คนคงหนีไม่พ้นที่จะต้องหยิบ "ช็อคโกแลต" เข้าปากกันเป็นแน่ใช่ไหมค่ะ มุมสุขภาพสำหรับวันศุกร์นี้ ขอไม่ตกเทรนด์ด้วยการนำสาระดีๆ จากการทานช็อคโกแลตให้ได้ประโยชน์มาฝากกันค่ะ
ช็อคโกแลต นอกจากจะเป็นของหวานยอดนิยมตลอดปีไม่มีตกยุคแล้ว นักวิทยาศาสตร์หลายสำนักต่างสนใจค้นหาประโยชน์ของช็อคโกแลต และพบว่า ในขนมหวานสีน้ำตาลดำชนิดนี้มีคุณค่านานาแฝงอยู่ สารสำคัญที่พบในช็อคโกแลตมีหลายชนิด แต่หลักๆ ที่สำคัญและมีประโยชน์มาก คือ ฟลาโวนอยด์ ซึ่งจัดเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่มากมายในเมล็ดโกโก้ จึงเป็นยาวิเศษขนานหนึ่งที่ทำให้คนที่กินช็อคโกแลตอยู่ห่างไกลจากโรคหัวใจและมะเร็งได้
อ่านต่อhttp://www.trueplookpanya.com/true/sarapan_detail.php?cms_id=13895